ความกลัว

เมื่อ”ความกลัว”ว่าจะปฏิบัติผิด หรือกลัวไม่ก้าวหน้า ก่อตัวขึ้นในจิตใจเรา

จิตที่เต็มไปด้วยอวิชชาก็เข้าไปจับความกลัวนั้นทันที

และเมื่อเรา “รู้” ไม่ทัน จนตกเป็นทาสมัน

จึงมี”เรา”ที่กำลังกลัว

ส่งผลให้เกิดความดิ้นรน ความระแวง จนไปถึงความอยากดี อยากจะหาทางปฏิบัติให้ถูก ให้ก้าวหน้ากว่าที่เป็นอยู่

เมื่อเป็นเช่นนี้

#จึงครบองค์ประกอบของวัฏจักรการปฏิบัติผิดทันที

#เพราะเราลืมหลัก
เราพลาด การรู้ การเห็น ความกลัว
ว่าเป็นเพียงสภาวธรรมหนึ่ง
ที่เกิดขึ้นแล้ว และจะดับไปในที่สุด

พอเราลืมหลัก เราจึงอ่อนแอ
#เราจึงกลายเป็นทาสของความกลัว

ส่งผลให้การปฏิบัติที่ถูกจึงเกิดไม่ได้เลย
เพราะมีแต่เรา ที่กำลังตกเป็นทาสของกิเลส

#เรียกว่าปฏิบัติธรรม ภายใต้ความครอบงำของกิเลส ของตัวตน ของความมืด

แต่หากเราแม่นในหลักการปฏิบัติ

คือ เพียงแค่ “รู้” ปัจจุบันธรรม

คือ รู้ เห็น ความกลัวที่เป็นปัจจุบันธรรมขณะนี้

เมื่อเห็นแล้ว ความกลัว ก็ดับไป

ส่งผลให้เกิดการเจริญวิปัสสนา เห็นการเกิดดับของสภาวธรรมอัตโนมัติ

#แบบนี้จึงเรียกว่า #ปฏิบัติธรรมแล้ว

แต่หากเรายังเป็นทาสของความกลัวอย่างไม่จบสิ้น จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ลองมาดูกัน

“เรา”จะเกิดขึ้น

“การทำ” จะเกิดขึ้น

“ความพยายาม” จะเกิดขึ้น

“ความดิ้นรน” จะเกิดขึ้น

และเมื่อ ”เรา” “ทำ” “ได้”
ตามที่เราตั้งเป้าหมายเอาไว้

ความผิดพลาดอีกมากมาย จะตามมา
ไม่ว่าจะเป็น

#การประคองรักษา
#การทำให้เที่ยง
#ให้เป็นแบบนั้นอีก ในแบบที่เรามีเป้าหมายว่าควรเป็นแบบนี้

#และสุดท้ายที่น่ากลัวที่สุดคือการพอกพูนอัตตาอย่างแนบเนียน

เราพยายามปฏิบัติธรรม แต่กลับกลายเป็นการพอกพูนกิเลส สิ่งสกปรก ให้มากกว่าเดิม และเราไม่มีวันรู้ได้เลย

เพราะเราผิดตั้งแต่เริ่ม แต่เราไม่รู้ตัว เพราะไม่เห็นกิเลสที่ชักใยเราอยู่เบื้องหลัง เราถูกกิเลสครอบงำไปแล้ว

#มันมืดตั้งแต่เริ่มแล้ว

เพราะฉะนั้น
หากไม่อยากพลาด
ไม่อยากกังวล
ไม่อยากกลัว

จงมั่นคงในหลักการของการปฏิบัติที่แท้จริง #แล้วเราจะพึ่งตัวเองได้ในทุกสถานการณ์

#มีแค่รู้ #ปัจจุบันธรรม

แล้วความผิดพลาดทั้งหลายที่ชอบกังวล ที่ชอบกลัว จะเกิดขึ้นไม่ได้

เพราะ”แค่รู้”นั้น ติดกับอะไรไม่ได้เลย

#ขอเพียงแค่อย่าทำอะไรเกิน “รู้

อย่าเอาตัวเราเข้าไปรองรับกิเลส ทำตามกิเลส
เพราะมันจะกลืนกินเราอย่างแนบเนียนจนตกเป็นทาสของมันในที่สุด
*
*
*
บางท่านอาจคิดว่า ที่ว่า”รู้”
กลัวว่ายัง”รู้”ไม่ถูก
อาจด้วยเพราะอ่านมาเยอะ
ฟังมาเยอะ ทำให้กลัวแบบนั้น

เพราะฉะนั้นกลับมาที่หลักเหมือนเดิมนะครับ สติระลึกรู้ นั้นเป็นอนัตตาเช่นกัน มันจะรู้ได้แค่ไหน มันก็ได้แค่นั้น

แต่รู้ไปเรื่อยๆเถิดครับ มันจะถูกต้อง มากขึ้นๆ”เอง”

อย่าไป”ทำ” ให้ ”รู้” ถูกกว่านี้ ตามที่เราอยากให้เป็น เพราะมันผิด
*
*
*
จะเห็นว่าทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เป็นเรื่องของการวนกลับมาที่เดิมของเหล่านักปฏิบัติ คือ

#อยากปฏิบัติธรรม

แต่

#ไปไม่พ้นตัวเรา

จนเราตกเป็นทาสความกลัว ความอยาก “อีกแล้ว”

เราลืมคำว่า “มีแค่หน้าที่ รู้ทุกสิ่งตามเป็นจริง”
*
*
*
บางครั้งเราอาจจะสงสัยว่าที่ทำอยู่ ทำถูกมั้ย ใช่มั้ย เราติดอะไรมั้ย

หากเราเป็นนักปฏิบัติที่ ลืมหลัก เราจะดิ้นรน กลัว กังวล จนตกเป็นทาสกิเลส ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น

เช่นสงสัยว่าที่เราปฏิบัติ เราติดอะไรมั้ย เราก็วิ่งไปหาคำตอบ อยากรู้ว่าติดหรือไม่ติด

ระหว่างกำลังวิ่งหาคำตอบ ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นครับ

#เราติดความสงสัยเข้าแล้ว #แต่เราไม่เห็น

แล้วถ้าสภาวธรรมตรงหน้า ที่กำลังสร้างทุกข์ให้เรา เรายังละเลย มองไม่เห็น แล้วเราจะเอาปัญญาที่ไหนไปเห็นอย่างอื่นที่ลึกซึ้งกว่านั้นได้

ดังนั้น ฝึกเห็นสภาวธรรมตรงหน้า แล้วอะไรๆ ที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่ มันจะค่อยๆเปิดเผยตัวออกมา ให้เห็นเองครับ

อย่าไปรีบร้อน เพราะนั่นเป็นทางของอัตตา

กลับมาที่ตัวอย่างเดิมนะครับ
หากเราแม่นหลัก เราจะรู้ว่า หน้าที่ต่อทุกข์ ในอริยสัจ4 คือ”รู้”ทุกข์

สภาวะสงสัย เป็นสภาพทุกข์อันหนึ่ง ที่จะแสดงทุกขสัจจะให้เราเห็นว่า มันเปลี่ยนแปลง ทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้ เกิดขึ้นหรือดับไปตามเหตุปัจจัย

การรู้ การเห็นเช่นนี้ได้ จึงเรียกว่า ได้ปฏิบัติธรรมแล้ว มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมจริง

แล้วจิตจะค่อยๆมีปัญญาด้วยตัวมันเองได้จริง จะรู้จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่หลบซ่อนอยู่ ไม่ว่าจะลึกล้ำ ลึกซึ้งขนาดไหน ก็จะเห็นได้ด้วยตัวเอง ตามเวลาที่เหมาะสม(Timing) ของการพัฒนาเจริญวิปัสสนาปัญญา

และด้วยการปฏิบัติง่ายๆ คือ รู้ปัจจุบันธรรม “เท่านั้นเอง”

แล้วทุกอย่างจะคลี่คลายเอง
ตามธรรมชาติของอนัตตา
*
*
*
นักปฏิบัติเราต้องเห็นความแนบเนียนของกิเลสให้ได้

ไม่เช่นนั้น เราจะวนอยู่ในวงจรอุบาทว์ของกิเลสจนโงหัวไม่ขึ้น

นักปฏิบัติที่แท้จริง

เป็นนักช่างสังเกต #รู้ทันกิเลส

#ไม่ใช่นักทำตามกิเลสนะครับ

Camouflage